วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ดไม่ (ลับ) มัดใจสามี




“เสน่ห์หญิง” “มัดใจชาย” “คุณไสย” ไม่จำเป็น!

เพราะเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ การเสียคนที่รักแล้วอยากได้คนที่รักกลับคืนมา ทำให้หญิงไทยจำนวนไม่น้อยหลงเชื่อ “ตกเป็นเหยื่อ” ผู้ที่อ้างตัวเป็น “อาจารย์ขมังเวท” อ้างว่าสามารถจะทำ “เสน่ห์ยาแฝด” ให้ชายที่หมายปองไว้มารักมาหลง หรือทำให้คนรัก-สามีที่หนีจากไป...หวนกลับคืนมาหาได้ ?!?“งมงายไสยศาสตร์” ที่สุดมักไม่พ้น “ถูกต้มตุ๋น”“เสน่ห์หญิง” สร้างเองก็ได้ “ไม่ต้องพึ่งคุณไสย”เรื่องราวของการสร้างเสน่ห์หญิงนั้น คนไทยเรามีการแนะนำสอนสั่งกันมาแต่โบราณกาล ยกตัวอย่างวรรณกรรมคำกลอนเรื่อง “กฤษณาสอนน้อง” นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “สูตร (ไม่) ลับมัดใจสามี” ตำรับโบราณ ซึ่งเป็นเรื่องราวของธิดาท้าวพรหมทัตที่ชื่อ “กฤษณา” ที่มีคู่ถึง 5 คนพร้อม ๆ กัน...โดยไม่มีปัญหา จนน้องที่ชื่อ “จิรประภา” ที่มีสวามีคนเดียวแต่ชีวิตคู่ไม่มีความสุข คิดว่าพี่สาวใช้คาถาอาคม จึงจะขอบ้างกฤษณาจึงสอน “เคล็ดลับมัดใจสามี” ให้กับน้อง โดย “ข้อพึงปฏิบัติ” นั้นสรุปความได้ว่า...
“ต้องมีความซื่อสัตย์” ภักดีกันอย่างคงเส้นคงวา
“ต้องรู้จักถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน” ซึ่งจะเป็นรากฐานของการใช้ชีวิตคู่
หากสามีโกรธหรือร้อนเป็นไฟมา...ภริยาต้องเป็นน้ำ การทะเลาะวิวาทก็จะไม่เกิดขึ้น
เป็นภริยา “ต้องรู้จักผ่อนสั้น-ผ่อนยาว” หากสามีทำท่าเย็นชาก็อย่าเพิ่งร้อนใจโวยวายไป ต้องใจเย็น ๆ
อะไรที่รู้ว่าสามีไม่ชอบหรือไม่พอใจ...ก็ควรละเว้น ให้พยายาม “ทำแต่สิ่งที่สนองความพึงพอใจสามี”
รู้จัก “เลือกเวลาพูดให้ถูกจังหวะ” และการ “มีวาจาอันอ่อนหวาน” ไพเราะเสนาะหู
“มีมารยาทงาม” ละมุนละไม ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิง และเป็นเสน่ห์มัดใจชายให้รักได้
เรื่องการงอนก็ต้องงอนแต่พอเหมาะพอควร “อย่างอนจนเกินงาม”อย่าจู้จี้จุกจิกในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ “อย่าบ่นสามีเป็นอาจิณ” ต้องรู้จักโอนอ่อนตามอัธยาศัย และหากสามีมีแขกมาเยือนก็ให้ต้อนรับขับสู้ให้ดี “อย่าขี้เหนียวเกินเหตุ” หรือแสดงกิริยาไม่พอใจแขกของสามีจนออกนอกหน้า
ต้องปรนนิบัติสามีตามความเหมาะสม ยามสามีเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องคอยดูแลถามไถ่ ช่วยรักษาพยาบาลโดยตรง มิใช่ปล่อยเป็นหน้าที่คนอื่น ซึ่งการดูแลกันยามเจ็บป่วยจะทำให้เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้นนอกจากข้อพึงปฏิบัติแล้ว...ยังมี “ข้อห้าม” ด้วยบางเรื่องถือว่าเป็นการ “ประพฤติชั่ว” ร้ายแรง !!ข้อห้ามที่กฤษณาสอนน้อง เพื่อไม่ให้สามีเกิดความรู้สึกไม่ดีกับภรรยา เกิดความเบื่อหน่าย-ตีจาก ก็มี อาทิ...
“อย่าเล่นชู้สู่ชาย” เป็นอันขาด
“อย่าดูถูกดูหมิ่นสามี” หรือซ้ำเติมยามที่สามีทำอะไรพลาดพลั้ง
“อย่าด่าเสียดสี-อย่ายกตนข่มผัว”
“อย่าทำอะไรโดยพลการ” ไม่ปรึกษาหารือกัน
ตลอดจน “อย่านินทา สามี” กับเพื่อนบ้าน อย่าคบเพื่อนไม่ดี
และ “อย่าเกียจคร้าน” ปล่อยบ้านช่องสกปรก เป็นต้นเหล่านี้เป็น “เคล็ดลับมัดใจสามี...ตำรับโบราณ”ส่วนยุคปัจจุบัน...ปรับเสียหน่อยก็นำมาใช้ได้ !!ปริศนา พงษ์ทัดศิริกุล เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) บอกว่า...ตำราเสน่ห์มัดใจสามีหรือมัดใจชายนั้น สมัยโบราณจะใช้หนัง สือเรื่อง “กฤษณาสอนน้อง” เป็นต้นแบบ ส่วนยุคปัจจุบันที่สภาพเศรษฐกิจและสังคมได้เปลี่ยนไปในแนวทางที่ผู้หญิงมีบทบาทในสังคมมากขึ้น...ก็คงต้องพลิกแพลงปัจจุบันผู้หญิงมีความรู้ มีหน้าที่การงานที่ดี ที่สำคัญผู้หญิงสามารถที่จะหาเลี้ยงตนเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายเหมือนสมัยก่อน ดังนั้น หากจะนำเนื้อหาจากหนังสือเรื่องกฤษณาสอนน้องมาใช้...ก็อาจจะไม่ได้ใช้ทั้งหมด เพราะ แนวทางการใช้ชีวิตคู่ในยุคปัจจุบันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา...เลขาฯ สวช. ระบุว่า...สิ่งที่เป็น “เสน่ห์มัดใจชาย” ของผู้หญิงในยุคนี้ก็เช่น “เป็นผู้ฟังที่ดี” และที่ต้องเพิ่มเติมคือนอกจากการเป็นผู้ฟังที่ดีแล้ว...ภรรยาก็ “ต้องหมั่นเพิ่มเติมความรู้” มีความรู้ทั่วไปทั้งในบ้านและนอกบ้านด้วย เพราะยามที่สามีมีเรื่องเครียดหรือมีเรื่องกลุ้มใจจากนอกบ้านมา ภรรยาเมื่อรับฟังแล้วก็จะ “สามารถให้คำปรึกษาแนะนำสามี” ในมุมมองที่แตกต่างออกไปได้“คือนอกจากทำหน้าที่เป็นภรรยาแล้วยังทำหน้าที่เป็นเพื่อนอีกทางหนึ่งด้วย เมื่อสามีได้ระบายความทุกข์-ความเครียด ก็เท่ากับได้ผ่อนคลาย” อย่างไรก็ตาม กับประเด็นที่ “ต้องมีความซื่อสัตย์” มีความจริงใจต่อกัน เลขาฯ สวช. เน้นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก...ไม่ว่ายุคสมัยไหน เพราะหมายถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งชีวิตคู่ที่ต้องเลิกร้างกันไป เพราะไม่มีในจุดนี้...มีมากต่อมาก และอีกประเด็นคือ...ยามที่ “มีเรื่องทะเลาะกันต้องรู้จักที่จะผ่อนปรนบ้าง” อย่าตึงเครียดจนเกินไป เพราะจะนำไปสู่การแตกหัก และหย่าร้างได้ในที่สุด“เรื่องเสน่ห์หรือการใช้ชีวิตคู่นั้นเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนกันไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความรัก ความเข้าใจกันและกัน ซึ่งหากสามารถทำได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาเวทมนตร์คาถาอะไรทั้งสิ้น เพราะมนต์อะไรก็ตามถึงมีจริงก็ไม่ยั่งยืน ก็ต้องเสื่อมไปตามวันเวลา”...เลขาฯ สวช. กล่าวก็เป็น “เคล็ดลับมัดใจชาย” ยุคโบราณ...ถึงยุคปัจจุบันหญิงใดปฏิบัติได้...ก็ไม่ต้องไปงมงาย “เสน่ห์ยาแฝด”ถ้าทำแล้วชายยังหนี...ก็ “ตัดหางปล่อยวัด” เถอะ !!!.









108 ผิวหน้าขาวใส หุ่นกระชับภายใน 14 วัน

สูตรหน้าขาวใส
อุปกรณ์• โยเกิร์ต 1 ถ้วย• น้ำมะนาว 1 ช้อนชา• น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา• เกลือ 1 ช้อนโตะขั้นตอน 1. นำโยเกิร์ต น้ำผึ้งและน้ำมะนาวมาผสมรวมกันคนให้เป็นเนื้อเดียวจน ข้น2. นำเกลือมาผสมในขั้นตอนสุดท้าย 3. นำมาสครับผิวกายประมาณ 10 นาที4. ทิ้งไว้ประมาณ15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด5. ถ้ายังมีกลิ่นโยเกิร์ตอยู่ ควรล้างสบู่อ่อน ๆ ซับผิวให้แห้งและทาโลชั่น * ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะขาวเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มีเคล็บลับบำรุงผิวหน้ามาฝากกัน 2 สูตร ใครที่อยากจะมีผิวสวยใส ด้วยวิธีง่าย ๆ ก็ลองนำไปทำดูได้นะคะ ส่วนผสมต่าง ๆ มีดังนี้ค่ะ
สูตรที่ 1 สูตรลับหน้าขาว
1. มะขามเปียก
2. นมสด
3. น้ำผึ้ง
วิธีทำ ผสมน้ำมะขามเปียก นมสด และน้ำผึ้ง (ใส่นมสด และน้ำผึ้งแค่ครึ่งหนึ่งของน้ำมะขามเปียก) จากนั้นตั้งไฟอ่อนๆ คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ให้เย็น เป็นอันว่าเสร็จแล้วค่ะ

วิธีเก็บรักษา - ใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดแล้วแช่ในตู้เย็น สามารถ เก็บไว้ได้นานเท่าที่ต้องการเลยค่ะ

วิธีใช้ - ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า เช็ดให้แห้ง แล้วทาครีมมะขามเปียกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที หรือนานเท่าใดก็ได้ ตามใจผู้ใช้ แล้วล้างออกตามปกติ

ข้อควรระวัง - หลีกเลี่ยงการทาบริเวณดวงตา เพราะอาจจะทำให้ระคายเคืองได้

ข้อพึงกระทำ - ถ้าต้องการให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรทาครีมมะขามเปียกในขณะที่ครีมเย็น หรือเพื่งจะเอาครีมออกจากตู้เย็น เพราะความเย็นจะทำให้รูขุมขนเล็กลง ผิวหน้าก็จะเรียบขึ้นค่ะ

สูตรที่ 2 สูตรหน้าขาวใสด้วยธรรมชาติ
1. แป้งดินสอพอง
2. ขมิ้นหรือไพร
3. มะขามเปียกหรือมะนาว
ละลายดินสอพองไม่ต้องแฉะมากให้พอข้น แล้วผสมไพรหรือขมิ้น และมะนาวหรือมะขามเปียก ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า ใบหน้าของคุณก็จะขาวใสขึ้นค่ะ